มาตรา
13 ทวิ ให้มีคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรประกอบด้วย ปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการ
อธิบดีกรมสรรพากร อธิบดีกรมศุลกากร อธิบดีกรมสรรพสามิต ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และผู้ทรงคุณวุฒิอีกจำนวนสามคนซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นกรรมการ
  ให้คณะกรรมการแต่งตั้งข้าราชการสังกัดกระทรวงการคลังเป็นเลขานุการ
และผู้ช่วยเลขานุการ |
|
|
  มาตรา
13 ตรี ให้กรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งตามมาตรา 13 ทวิ มีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสามปี
กรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระอาจได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการอีกได้ |
|
|
|
  มาตรา
13 จัตวา นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา 13 ตรี กรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งเมื่อ
  (1)
ตาย
  (2)
ลาออก
  (3)
รัฐมนตรีให้ออก
  (4)
เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ หรือเป็นบุคคล ล้มละลาย
  (5)
ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
  ในกรณีที่กรรมการพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ
ให้รัฐมนตรีแต่งตั้งผู้อื่น เป็นกรรมการแทน
  กรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งตามวรรคสอง
อยู่ในตำแหน่งได้เพียงเท่ากำหนดเวลาของผู้ซึ่งตนแทน |
|
|
|
  มาตรา
13 เบญจ การประชุมคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด
จึงเป็นองค์ประชุม |
  ถ้าประธานกรรมการไม่อยู่ในที่ประชุม
ให้กรรมการเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม |
  มติของคณะกรรมการให้ถือเสียงข้างมาก
กรรมการคนหนึ่งให้มีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด
|
|
|
|
  มาตรา
13 ฉ ให้กรรมการในคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
|
|
|
|
  มาตรา
13 สัตต คณะกรรมการตามมาตรา 13 ทวิ มีอำนาจ
  (1)
กำหนดขอบเขตในการใช้อำนาจของเจ้าพนักงานประเมินและพนักงานเจ้าหน้าที่
  (2)
กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาในการตรวจสอบและประเมินภาษีอากร
  (3)
วินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับภาษีอากรที่กรมสรรพากรขอความเห็น
  (4)
ให้คำปรึกษาหรือเสนอแนะแก่รัฐมนตรีในการจัดเก็บภาษีอากร |
  การกำหนดตาม
(1) และ (2) เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
ให้เจ้าพนักงานประเมินและพนักงานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติตาม |
  คำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรตาม
(3) ให้เป็นที่สุด และในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยในภายหลัง
คำวินิจฉัยเปลี่ยนแปลงนั้นมิให้มีผลใช้บังคับย้อนหลัง เว้นในกรณีที่มีคำพิพากษาอันถึงที่สุดมีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัย
ก็ให้เจ้าพนักงานประเมินหรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจดำเนินการตามคำพิพากษาในส่วนที่เป็นโทษย้อนหลังได้เฉพาะบุคคลซึ่งเป็นคู่ความในคดีนั้น |
|
|
|
  มาตรา
13 อัฏฐ กรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้ง ซึ่งมีส่วนได้เสียในเรื่องใดที่ต้องวินิจฉัยตามมาตรา
13 สัตต (3) จะเข้าร่วมประชุมหรือลงมติในเรื่องนั้นมิได้ |
|
(
พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2525 ใช้บังคับ 17 ต.ค.
2525 เป็นต้นไป ) |
|
|